เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา สถานทูตจีนประจำกรุงเวียงจันทน์เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุรถทัวร์นำเที่ยวที่บรรทุกนักท่องเที่ยวชาวจีนมากว่า 44 คน ประสบอุบัติเหตุพลัดตกเหวลึก ระหว่างที่เดินทางอยู่ใกล้กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย และบาดเจ็บอีก 31 ราย
ทัวร์กลุ่มนี้เดินทางจากกรุงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาว
มุ่งหน้าไปเมืองหลวงพระบาง ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 300 กม. ทางทิศเหนือ ซึ่งจากรายงานระบุว่า นอกจากภูมิประเทศบริเวณที่เกิดเหตุจะเป็นหุบเหวลึกแล้ว ถนนในบริเวณนั้นยังค่อนข้างสัญจรลำบากด้วย
ในกลุ่มนี้ มีชาวจีน 44 คนและชาวลาว 2 คนซึ่งเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวและคนขับรถ หลังเกิดอุบัติเหตุ ได้มีการกู้ภัยครั้งใหญ่ มีการระดมกำลังทีมแพทย์ชาวจีนในประเทศลาวซึ่งกำลังอยู่ระหว่างฝึกซ้อมปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม มาช่วยเหลือร่วมด้วย และยังมีผู้สูญหายอีก 2 ราย โดยในขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้รถเสียหลักหลุดจากถนนและตกเหว
ปัจจุบัน Google ใช้คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ AI ที่เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีความล้ำหน้าสูง และมีความแม่นยำ เข้าวิเคราะห์สิ่งต่างๆที่ถูกโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบสิ่งผิดปกติหรือขัดต่อข้อกำหนดและกฏเกณฑ์ของ Google ซึ่งต้องบอกว่ามันได้ผลดีมาก แต่บางครั้ง AI ก็ตีความสิ่งที่ผู้คนโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ตไปอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาต่างๆได้
ล่าสุดมีผู้ใช้งาน YouTube(เจ้าของคือ Google) ได้มีการออกมาโพสต์โวย AI ของยูทูป หลังจากที่วีดีโอการแข่งขันหุ่นยนต์ต่อสู้กันของเขาถูก AI ลบออกจากยูทูป โดย youtube ให้เหตุผลที่ลบวีดีโอขแองเขาว่า ในวีดีโอดังกล่าวมีเนื้อหาที่เป็นการ “ทรมาณสัตว์” โดยเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ผ่านโซเชี่ยลว่า “เป็นวันที่เศร้ามาก เหล่าบรรดานักประดิษฐ์ต่างพากันร้องให้ออกมาด้วยความโกรธแค้น หลังจากอัลกกริธึ่มของ youtube วิเคราะห์วีดีโอหุ่นยนต์สู้กันของพวกเขาและตีความว่าเป็นการ “ทรมานสัตว์” วันนี้วีดีโอที่ผมโพสต์ถูกลบไป 9 อัน และคนอื่นๆอาจจะเป็นร้อย”
เหตุการณ์ดังกล่าวอาจสรุปได้ว่าเป็นความผิดพลาดของระบบประมวลผลใน AI ของยูทูปเอง ซึ่งวีดีโอของหลายๆคนเริ่มถูกกู้กลับคืนมาได้แล้ว ซึ่งเรื่ทองนี้สอนให้เรารู้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่ AI จะตัดสินสิ่งที่เราทำว่าถูกหรือผิด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของพลังทำลายล้างของเทคโนโลยีดาบสองคม ไม่อยากคิดว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหนหาก AI คิดทำอะไรที่ตื่นเต้นกว่านี้
อย่างที่รู้กันดีในกลุ่มผู้ใช้อุปกรณ์ของ Apple ถึงความสะดวกสบายในการส่งข้อมูลต่างๆภายในอุปกรณ์ของ Apple ด้วยกัน ผ่านระบบการเชื่อต่อผ่านเน็ตเวิร์ตเฉพาะของตัวเองอย่าง AirDrops ขณะที่ทาง Android ก็มี Bluetooth ที่สามารถใช้งานได้ในลักษณะเดียวกัน แต่ล่าสุด สามค่ายมือถือจากจีนอย่าง Vivo, Xiaomi และ Oppo ได้ออกมาประกาศว่าจะมีโปรเจ็คร่วมกัน
โดยทั้งสามค่ายนี้ตกลงจับมือพร้อมใจใส่ฟีเจอร์ใหม่ในอุปกรณ์ของตัวเอง โดยเป็นฟีเจอร์ที่จะจับคู่อุปกรณ์จากมือถือของทั้งสามค่ายด้วยบลูธูท และสร้างเป็นเน็ตเวิร์คของตัวเอง คล้ายใน AirDrop. ฟีเจอร์ดังกล่าวจะสามารถส่งไฟล์ต่างได้ที่ความเร็วถึง 20Mbps และคาดว่าจะพร้อมใช้งานเวอร์ชั่นเบต้าได้ในปลายเดือนสิงหานี้ ซึ่งในอนาคตก็จะมีการเปิดให้ค่ายมือถืออื่นเข้าร่วมแจมเน็ตเวิร์คดังกล่าวด้วยเช่นกัน.
ฟีเจอร์ลักษณะดังกล่าวทาง Google เคยมีมาแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2011 ในชื่อ Android Beam ที่เป็นการใช้ NFC ในการแชร์ข้อมูลต่างๆ เพียงนำมือถือไปแตะกัน แต่ทว่า Android Beam ก็เริ่มจางหายไปและจะถูกแทนที่ด้วยฟีเจอร์ส่งต่อข้อมูลใหม่ของ Google ในชื่อ Fast Share ที่คาดว่าจะเปิดตัวพร้อม Android Q
ตำนานสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสาบ Loch Ness อาจเป็นแค่ ‘ปลาไหลยักษ์’
Nessie แห่งทะเลสอบ Loch Ness ตำนานสิ่งมีชีวิตลึกลับลักษณะคล้ายไดโนเสา กับภาพปริศนาที่เล่าขานกันมานับหลายศัตวรรษ สิ่งมีชีวิตที่หลุดมาจากโลกดึกดำบรรพ์ถูกเล่าขานกันมานานจนเกิดเป็นข้อสงสัยว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้ มีตัวตนจริงหรือไม่ ภาพที่ถ่ายอันโด่งดังใบนั้น เป็นภาพจริงหรือไม่
หากพูดถึงภาพถ่ายดังกล่าว ก็คงเกิดเป็นคำถามว่า ภาพนั้นเป็นภาพจริงหรือภาพตัดต่อ เพราะภาพดังกล่าวถูกถ่ายเมื่อปี 1934 หรือ 85 ปีที่แล้ว หากข้อสงสัยที่ว่าเป็นภาพตัดต่อ แล้วตัดต่ออย่างไร และทำเพื่ออะไร นอกจากนี้ยังมีพยานที่เป็นผู้สูงอายุ บอกเล่าเรื่องราวสิ่งที่เห็นในลักษณะเดียวกันอีกหลายคน เป็นการตอกย้ำว่า Nessie มีตัวตนจริง แต่เมื่อเวลาผ่านๆไปปริศนานี้ก็ค่อยๆถูกลบเลือนออกจากความสนใจไคร่รู้ของผู้คน
กระทั่งล่าสุด ตำนานสัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสได้ถูกปลุกให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อชายคนหนึ่งได้เผยแพร่วีดีโอที่เขาถ่ายใต้แม่น้ำเนส โดยในวีดีโอเผยให้เห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาลักษณะลำตัวยาว ว่ายผ่านหน้ากล้องของเขาเป็นเงาลางๆ โดยเขาโพสต์วีดีโอดังกล่าวลงบนทวิตเตอร์พร้อมข้อความระบุว่า “เอาจริงเลยนะ ถ้าคุณเห็นอะไรใหญ่ๆยาวๆว่ายผ่านกล้องใต้น้ำของคุณในแม่น้ำเนส สิ่งแรกที่คุณนึกถึงขึ้นมาเลยคือ สัตว์ประหลาดแห่งล็อคเนสแน่นอน”
เดือดร้อนไปถึงผู้เชี่ยวชาญที่พยายามไขปริศนานี้มานานอย่าง Richard Freeman เขาบอกว่าสิ่งมีชีวิที่เห็นในวีดีโอ คือ ปลาไหล แต่ถึงจะเป็นปลาไหลจริง เขาก็แย้งว่า ทฤษฏีปลาไหล ไม่สามารถใช้เป็นตำตอบของปริศนานี้ได้ และปริศนาสัตว์ประหลาดแห่งทะเลสอบล็อคเนส ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป